วันจันทร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ประเทศออสเตรเรีย

   

    

 ธงชาติออสเตรเลีย 

    

    

 ตราประเทศออสเตรเลีย 

 ข้อมูลทั่วไปประเทศออสเตรเลีย 

   ออสเตรเลีย (อังกฤษ: Commonwealth of Australia) เป็นประเทศซึ่งประกอบด้วยแผ่นดินหลักของทวีปออสเตรเลีย เกาะแทสเมเนีย และเกาะอื่นๆในมหาสมุทรอินเดีย แปซิฟิก และมหาสมุทรใต้ ประเทศเพื่อนบ้านของออสเตรเลียประกอบด้วย อินโดนีเซียปาปัวนิวกินี และติมอร์ตะวันออกทางเหนือ หมู่เกาะโซโลมอน วานูอาตู และนิวแคลิโดเนียทางตะวันออกเฉียงเหนือ และนิวซีแลนด์ทางตะวันออกเฉียงใต้ชื่อออสเตรเลียมาจากคำในภาษาละตินว่า australisซึ่งหมายถึงทิศใต้ โดยมีตำนานถึง"ดินแดนทางใต้ที่ไม่รู้จัก" (ละติน: terra australis incognita) ชาวยุโรปเริ่มสำรวจค้นพบออสเตรเลียในพุทธศตวรรษที่22และต่อมาจึงกลายเป็นดินแดนอาณานิคมของบริเตนโดยเริ่มต้นเป็นอาณานิคมนักโทษในนิวเซาท์ เวลส์และจึงมีการตั้งอาณานิคมขึ้นอีกห้าแห่งอาณานิคมทั้งหกรวมตัวเป็นสหพันธรัฐในปีพ.ศ. 2444 ออสเตรเลียมีชนพื้นเมืองซึ่งอาศัยตั้งแต่ก่อนชาวยุโรปเข้ามา เรียกว่าชาวอะบอริจิน

 

 

 ประวัติศาสตร์ประเทศออสเตรเลีย

   

     Willem Janszoon 

   ชนพื้นเมืองในออสเตรเลียก่อนการตั้งถิ่นฐานของชาวยุโรป  คือชาวอะบอริจินและชาวเกาะทอร์เรสสเทรตซึ่งชนเหล่านี้มีภาษาแตกต่างกันนับร้อยภาษา ประมาณการว่ามีชาวอะบอริจินมากกว่า 780,000 นอยู่ในออสเตรเลียในปี พ.ศ. 2331การค้นพบออสเตรเลีย ของชาวยุโรปครั้งแรกที่มีการบันทึกไว้ เกิดขึ้นในปีพ.ศ.2149เป็นเรือของชาวดัตช์โดยกัปตัน WillemJanszoonทำแผนที่ชายฝั่งส่วน หนึ่งของออสเตรเลียระหว่างปีพ.ศ. 2149 และ 2313มีเรือของชาวยุโรปประมาณ54ลำจากหลายชาติเดินทางมาที่ออสเตรเลียซึ่งรู้จัก  ในขณะนั้นว่านิวฮอลแลนด์ในปีพ.ศ.2313เจมส์คุกเดินทางมาสำรวจออสเตรเลียและทำแผนที่ชายฝั่งตะวันออกของออสเตรเลีย และได้ประกาศให้เป็นส่วนหนึ่งของสหราชอาณาจักร ให้ชื่อว่านิวเซาท์เวลส์ต่อมาสหราชอาณา จักรใช้ออสเตรเลียเป็นอาณา นิคมสำหรับนักโทษ(penalcolony)ฝูงเรือแรก เดินทางมาถึงออสเตรเลียที่อ่าวซิดนีย์ในปีพ.ศ. 2330 ในวันที่ 26 มกราคม (ค.ศ. 1788)ซึ่งต่อมาเป็นวันออสเตรเลีย ผู้ตั้งถิ่นฐานยุคแรกส่วนใหญ่เป็นนักโทษและครอบครัว ของทหารโดยมีผู้อพยพเสรีเริ่มเข้ามาในปีพ.ศ.2336 มีการตั้งถิ่นฐานบน เกาะแทสเมเนียหรือชื่อในขณะนั้นคือฟานไดเมนส์แลนด์ ในปีพ.ศ. 2346 และตั้งเป็นอาณานิคมแยกอีกแห่งหนึ่งในปีพ.ศ. 2368 สหราชอาณาจักรประกาศสิทธิในฝั่งตะวันตกในปี พ.ศ. 2372 และเริ่มมีการตั้งอาณานิคมแยกขึ้นมาอีกหลายแห่ง ได้แก่เซาท์ออสเตรเลีย วิกตอเรีย และควีนส์แลนด์ โดยแยกออกมาจากนิวเซาท์เวลส์ เซาท์ออสเตรเลียไม่เคยเป็นอาณานิคมนักโทษ ในขณะที่วิกตอเรียและเวสเทิร์นออสเตรเลียยอมรับการขนส่งนักโทษภายหลัง เรือนักโทษลำสุดท้ายมาถึงนิวเซาท์เวลส์ในปี พ.ศ. 2391 หลังจากการรณรงค์ยกเลิกโดยกลุ่มผู้ตั้งถิ่นฐานการขนส่งนักโทษยุติอย่างเป็นทางการในปีพ.ศ. 2396 ในนิวเซาท์เวลส์และแทสเมเนีย และปีพ.ศ. 2411 ในเวสเทิร์นออสเตรเลียปีพ.ศ. 2394 เอดเวิร์ด ฮาร์กรีฟส์ ค้นพบสายแร่ทอง ในที่ๆเขาตั้งชื่อว่าโอฟีร์ (Ophir) ในนิวเซาท์เวลส์

 

 

ชาวอะบอริจิน

  ทำให้เกิดยุคตื่นทองนำคนจำนวนมากเดินทางมาออสเตรเลียในปีพ.ศ.2444หกอาณานิ คมในออสเตรเลียรวมตัวกันเป็นสหพันธรัฐในชื่อเครือรัฐ ออสเตรเลีย (Common wealth  of Australia)ประกอบด้วยรัฐนิวเซาท์เวลส์รัฐวิกตอเรียรัฐควีนส์แลนด์รัฐเซาท์ออสเตร เลีย รัฐเวสเทิร์นออสเตรเลียและรัฐแทสเมเนียรวมหกรัฐเข้าอยู่ภายใต้ รัฐธรรมนูญหนึ่งเดียว เฟเดอรัล แคพิทัลเทร์ริทอรีก่อตั้งขึ้นในปีพ.ศ.2454เป็นเมืองหลวงของ สหพันธรัฐ จากส่วนหนึ่งของรัฐนิว เซาท์ เวลส์บริเวณแยส-แคนเบอร์ราและเริ่มดำเนิน งานรัฐสภาในแคน เบอร์รา ในปีพ.ศ. 2470 ในปีพ.ศ. 2454นอร์เทิร์นเทร์ริ ทอรี แยกตัวออกมาจากเซาท์ออสเตรเลียและเข้าเป็นดินแดนในกำกับของสหพันธ์ ออสเตรเลียสมัครใจเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่หนึ่งโดยมีอาสาสมัครเข้าร่วมถึง60,000 คนจากประชากรชายน้อยกว่าสามล้านคนออสเตรเลียประกาศใช้บทกฎหมายเวสต์มินสเตอร์ คริสต์ศักราช 1931(พ.ศ. 2474) ในปีพ.ศ. 2485โดยมีผลบังคับใช้ย้อนไปตั้งแต่ 3กันยายนพ.ศ.2482ซึ่งเป็นการยุติบทบาทนิติบัญญัติของสหราชอาณาจักรในออสเตรเลียเกือบทั้งหมดในสงคราม โลกครั้งที่สองออสเตรเลียประกาศสงครามกับเยอรมนีพร้อมกับสหราชอาณาจักรและฝรั่งเศสหลังจากเยอรมนีบุกโปแลนด์ ออสเตรเลีย ส่งทหารเข้าร่วมสมรภูมิในยุโรปเมดิเตอร์เร เนียนและแอฟริกาเหนือแผ่นดินออสเตรเลีย โดนโจมตีโดยตรงครั้งแรกจากการเข้าตีโฉบฉวยทางอากาศของญี่ปุ่น ที่ดาร์วินออสเตรเลียยุตินโยบายออสเตรเลียขาวโดยดำเนินการขั้นสุดท้ายในปีพ.ศ.2516พระราชบัญญัติออสเตรเลียคริสต์ศักราช1986(พ.ศ.2529)ยกเลิกบทบาทของสหราชอาณาจักรในอำนาจนิติบัญญัติและตุลาการของ ออสเตรเลีย โดยสิ้นเชิงในปีพ.ศ.2542 ออสเตรเลีย  จัดการลงประชามติว่าจะให้ประเทศเป็นสาธารณรัฐมีประธานาธิบดีแต่งตั้งจากรัฐสภาหรือไม่ซึ่งคะแนนเสียงเกือบ55%ลงคะแนนปฏิเสธ

 วัฒนธรรมและประชากรประเทศออสเตรเลีย

   วัฒนธรรมของออสเตรเลียมีลักษณะเป็นวัฒนธรรมตะวันตก  โดยเฉพาะแบบอังกฤษหรือแองโกล-เคลติกแต่ก็ยังมีเอกลักษณ์เฉพาะซึ่งพัฒนามาจากสภาพแวดล้อมและชนพื้นเมืองในระยะหลัง วัฒนธรรมของออสเตรเลียยังได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอเมริกันประเทศ ออสเตรเลียมีประชากรทั้งหมด 19ล้านคน ส่วนมากอทศัยอยู่ทางชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออก ชายฝั่งทะเลด้านตะวันออกเฉียงใต้ และในแทสมาเนียซึ่งประมาณ85%ของประชากรทั้งหมดอาศัยอยู่ใกล้หรืติดชายฝั่งทะเลชาวออสเตรเลีย ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการและดำเนินชีวิตแบบตะวันตกประเทศออสเตรเลีย เปรียบเสมือนบ้านของคนจาดทั่วทุกมุมโลกประชากรประมาณ1ใน5ของประชากรทั้งหมด ที่อาศัยในประเทศออสเตรเลียเป็นชาวต่างชาติ ทั้งจากเอเชียยุโรปอังกฤษและ อเมริกา ปัจจุบันนี้ประเทศออสเตรเลียได้มีการติด ต่อกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคอย่างใกล้ชิดประชากรพื้นเมืองของออสเตรเลีย  ได้แก่​ชาวอะบอริจินบนแผ่นดินหลักและชาวเกาะช่องแคบทอร์เรส​ซึ่งมีทั้งหมด 410,003คน ในปีพ.ศ.2544 (ร้อยละ ​2.2 ​ของประชากร)

 

 

 สภาพภูมิอากาศประเทศออสเตรเลีย

  สภาพภูมิอากาศของออสเตรเลียแตกต่างกันในแต่ละรัฐ สภาพอากาศทั่วไปจะเป็นแบบเขตร้อนจนถึงเขตอบอุ่น อุณหภูมิเฉลี่ยต่ำสุดที่ทัสเมเนียประมาณ 11-12 องศาเซลเซียส และร้อนสุดที่มณฑลตอนเหนือประมาณ 34 องศาเซลเซียส

-ฤดูใบไม้ผลิ กันยายน - พฤศจิกายน อากาศดี ดอกไม้บานสวยงาม

-ฤดูร้อนธันวาคม กุมภาพันธ์ อากาศร้อนและแห้งแล้ง บางแห่งร้อนจัด

-ฤดูใบไม้ร่วงมีนาคม พฤษภาคม อากาศเริ่มเย็นลงตามเมืองชายฝั่งทางตอนใต้และเมืองในเขตป่าฝนจะตกชุก

-ฤดูหนาวมิถุนายน สิงหาคม อากาศเย็นจัด มีหิมะตกบนเขตภูเขาสูงโดยทั่วไป

ตลอดทั้งปีออสเตรเลียจะมีท้องฟ้าใสและแดดแรง โดยเฉพาะตามเมืองชายทะเลและเมืองในแถบทะเลทราย จึงควรป้องกันการถูกแดดเผาโดยการใส่หมวกปีกกว้างและทาครีมกันแดดเสมอ

  ภาษาประเทศออสเตรเลีย 

  ภาษาอังกฤษ

  สกุลเงินประเทศออสเตรเลีย 

  สกุลเงินออสเตรเลียใช้หน่วยเงินเป็นดอลล่าร์ออสเตรเลีย (100เซ็นต์จะเท่ากับ1ดอลล่าร์)

ธนบัตรจะมีตั้งแต่ 100 , 50 , 20 , 10 และ 5 ดอลล่าร์ ส่วนเหรียญจะมีตั้งแต่ 5 , 10 , 20 ,50 เซ็นต์ 1 และ 2 ดอลล่าร์ บริการการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ จะมีให้บริการที่สนามบินระหว่างประเทศแก่ทุกเที่ยวบินที่เดินทางเข้าและออก ประเทศและการแลกเปลี่ยนเงินตราหรือการแลกเช็คเดินทางสามารถทำได้อย่างรวดเร็วได้ที่ธนาคารส่วนใหญ่ในประเทศ บัตรเอทีเอ็มสามารถใช้ได้ในประเทศได้ที่ตู้เอทีเอ็มทุกๆแห่งบัตรเอทีเอ็มของประเทศอื่นๆก็สามารถใช้ได้เช่นกัน การจะเป็นเจ้าของ บัตรจะต้องใช้ระหัสประจำตัว(Personal Identification Number หรือ PIN) ในการเข้าใช้บริการหรือกดเงินสด ซึ่งเจ้าของบัตรสามารถติดต่อขอข้อมูลสำหรับบริการต่างๆและค่าธรรมเนียม ของการใช้บัตรจากธนาคารเจ้าของบัตรได้

 ศุลกากรประเทศออสเตรเลีย

  กฎหมายของออสเตรเลียได้ระบุไว้อย่างเข้มงวดว่าห้ามนำยาเสพย์ติด อาวุธต่างๆ ,ปืน และสิ่งของอื่นๆ ที่มีการระบุว่าห้ามนำเข้าประเทศอย่างเด็ดขาด โดยผู้ที่ฝ่าฝืนจะได้รับการลงโทษอย่างรุนแรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาเสพย์ติดซึ่งกฎหมายจะเข้มงวดเป็นพิเศษห้ามนำเข้าขนสัตว์ หนังสัตว์ งาช้างและอวัยวะอื่นของสัตว์และนกประเภทต่างๆ นักท่องเที่ยวห้ามนำอาหารและพืชชนิดต่างๆเข้ามาในออสเตรเลีย หรือถ้ามีจะต้องแจ้งไว้ในบัตรผู้เดินทางขาเข้าประเทศและต้องนำกระเป๋าเดินทางไปแสดงที่ช่องตรวจสีแดงเพื่อที่จะให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบอาหารและพืชที่นำ เข้ามาในประเทศและถ้าตรวจสอบแล้วว่าไม่มีผลเสียใดๆก็จะได้รับคืนสำหรับที่ตรวจสอบแล้วไม่ผ่านจะต้องส่ง กลับประเทศ

  เมืองน่าเที่ยวประเทศออสเตรเลีย

     

    

 Sydney  

   Sydney ซิดนี่ย์  

Sydney New South Wales (NSW) มี Sydney เป็นเมืองหลวง เป็นเมืองที่มีนักท่องเที่ยวมากที่สุดและเป็นเมืองที่เก่าแก่และใหญ่ที่สุดของออสเตรเลีย มีชื่อเสียงในเรื่องชายหาด และความหลากหลายของวัฒนธรรม

  Sydney Opera House เชื่อว่าหลายๆ คนคงเคยเห็นสถาปัตยกรรมรูปทรงคล้าย หอยเชลล์มา บ้างแล้วจากทีวี ภาพยนตร์ซึ่งถือได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ ของออสเตรเลีย ก็ว่าได้ เป็นสถานที่ที่นักท่องเที่ยว แวะเวียนมาแชะรูปถ่าย กันตลอด เวลา ไม่ขาดสายเลยและภายใน Sydney Opera House ก็จะประกอบไปด้วยส่วนของศาลาคอนเสิร์ตโรง ละคร ภัตตาคาร และศูนย์วัฒนธรรมแห่งชาติของประเทศ ออสเตรเลียและยังเป็นจุดชมวิวชมวิว ที่สวยงาม ไม่ว่าจะเป็น ตอนกลางวันหรือตอนกลางคืน และถ้าใครมาซิดนีย์แต่ไม่มาที่ Opera House ก็เท่ากับว่ามา ไม่ถึงเพราะที่นี่เป็นหัวใจ หลักเลยก็ว่า ได้Sydney Opera House ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่ปลาย แหลมของ ผืนดิน ที่ยื่นออกไปใน ทะเลเล็กน้อยโดยมีน้ำทะเล ล้อมรอบอยู่ถึง 3 ด้าน Opera House มองดูเหมือนเรือ แม้ว่าแรงบันดาลใจของผู้ออกแบบจะมาจาก การปอก เปลือกของผลส้มแมนดารินก็ตาม ต้องถือว่า Sydney Opera House เป็นสัญลักษณ์ของนครซิดนีย์เลยทีเดียว ตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนถึงปัจจุบันOpera House แห่งนี้ถูกถ่ายรูปมาแล้วนับพันๆล้านครั้งนอกจากความเลอเลิศของรูปแบบของสถาปัตยกรรมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่จะสร้างความประทับใจให้ทุกคน ที่มาเยือนจนอยากจะมาอีกซ้ำ แล้ว ซ้ำเล่าแล้ว Sydney Opera House มีประวัติคือ ก่อนที่จะมีการก่อสร้าง Sydney Opera House ขึ้น ซิดนีย์ไม่มีสถานที่ที่ เหมาะสมเพียงพอในการเปิดแสดงดนตรีและการแสดงต่างๆ ชาวเมืองใช้ ที่ว่าการของเมืองเป็นที่จัดแสดง แต่เวที การ แสดงก็ยังไม่มีความสมบูรณ์และเหมาะสมอยู่ดี เมื่อ Sir Eugene Goosens ได้รับการแต่งตั้งให้เป็น หัวหน้าวาทยากร ของวงดุริยางค์ Sydney Symphony Orchestra และดำรงตำแหน่งกรรมการของ NSW Conservatorium of Music ในปี 1947

  

      Melbourne 

   Melbourne เมลเบิร์น 

Victoria (VIC) มี Melbourne เป็นเมืองหลวงเป็นเมืองที่ทั่วโลกรู้จักในเรื่องของวัฒนธรรมและความผสมผสานทางศิลปะบ่อยครั้งที่ถูกเปรียบเทียบกับยุโรปในเรื่องของสถาปัตยกรรมและวิธีการ

     

      Brisbane  

 Brisbane บริสเบน

Queensland (QLD) มี Brisbane เป็นเมืองหลวงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญทั้งของชาวออสเตรเลียและนักท่องเที่ยวต่างชาติ มีอากาศที่ดี Great Barrier Reef เป็นแหล่งท่องเที่ยวติดอันดับโลก

   

 
 
 
 
 
 
 
 
 Perth 

   Perth เพิร์ท เพิร์ธ

Western Australia (WA) มี Perth เป็นเมืองหลวง เป็นรัฐที่ใหญ่ที่สุด แต่มีประชากรเพียงแค่ 8% อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุประมาณ 25% GDP

การเมืองการปกครองออสเตรเลีย-ประเทศออสเตรเลีย
ประเทศออสเตรเลียมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
แบบรัฐสภา มีรูปแบบรัฐบาลเป็นสหพันธรัฐ และระบอบราชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ ประมุขแห่งรัฐของออสเตรเลีย
คือสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 ซึ่งพระองค์ ปัจจุบันคือสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบธที่ 2 พระอิสริยยศใน

 

วันพุธที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

10ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก

10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก 
ทุกคนรู้ดีว่างานศิลปะมีราคาแพง แต่คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือที่ว่าแพงนั้นแพงแค่ไหน? และนี่คือภาพเขียนที่แพงที่สุด 10 ภาพที่เคยซื้อขายผ่านการประมูล แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าภาพเหล่านั้นเป็นภาพที่ดีที่สุดหรือสวยที่สุด แต่หมายความถึงว่าจิตรกรเหล่านั้นได้รับความนิยมอย่างสูงในวงการศิลปะ ภาพวาดเหล่านี้จะเรียงตามลำดับมูลค่าของมัน ซึ่งมูลค่าของมันก็ขึ้นอยู่กับช่วงเวลานั้นๆ ด้วย และคุณอาจจะสังเกตว่าภาพจิตรกรรมที่ขายไปใน1-2 ทศวรรษที่ผ่านมาติดอยู่ในกลุ่มนี้ด้วย แน่นอนว่าภาพ Mona Lisa (La Gioconda) ที่วาดโดยจิตรกรเรืองนาม Leonardo da Vinci (1452-1519) ซึ่งวาดขึ้นในช่วงปี 1503–1507 ปัจจุบันเป็นสมบัติของรัฐบาลฝรั่งเศส จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse du Louvre ในกรุงปารีส เป็นภาพที่ไม่มีวันนำออกมาประมูลขายได้ แต่มันเป็นภาพเขียนมีการประกันภัยที่สูงที่สุดในประวัติศาสตร์ ในวันที่ 14 ธันวาคม 1962 ภาพนี้ได้รับการประกันภัยสูงถึง $ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ก่อนที่จะนำออกไปแสดงยังสหรัฐอเมริกาเป็นเวลาหลายเดือน และในปี 2006 ภาพนี้จะมีมูลค่าเพิ่มสูงถึงราวๆ $ 670 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เลยทีเดียว 10 ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก
1. Portrait of Dr. Gachet by Vincent van Gogh ($116,790,000) 
ผู้ที่ซื้อภาพนี้ไปคือนาย Ryoei Saito มหาเศรษฐีนักธุรกิจชาวญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1990 ด้วยวงเงินสูงถึง $ 82.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ภาพเหมือนของ Dr. Gachet ถูกวาดขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 1890 โดย Vincent van Gogh จิตรกรยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ (Impressionism) ชาวดัทช์ 

นาย Ryoei Saito ได้ประกาศสิ่งที่ช็อควงการศิลปะโลกเมื่อเขากล่าวว่าเขาปรารถนาที่จะเผารูปเขียนของ Vincent van Gogh ให้ตายไปพร้อมกันกับเขา แต่ต่อมาเขาได้อธิบายว่าเป็นแค่การพูดเปรียบเปรยเท่านั้น เพื่อบอกว่าเขามีความชื่นชมภาพเขียนชั้นยอดรูปนี้เพียงใด ซึ่งนาย Ryoei Saito ได้เสียชีวิตลงเมื่อปี 1996 Vincent van Gogh ได้เขียนรูปเหมือนของ ไว้ 2 รูปด้วยกัน โดยใช้สีสันต่างกันเล็กน้อย ซึ่งอีกภาพนั้นจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส
2. Bal au moulin de la Galette by Pierre-Auguste Renoir ($110,420,000) 
Bal au moulin de la Galette ภาพเขียนที่วาดขึ้นในปี 1876 โดยจิตรกรชาวฝรั่งเศส Pierre-Auguste Renoir ภาพนี้มีด้วยกัน 2 รูป และเป็นชื่อเดียวกันด้วย ภาพใหญ่กว่าจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์ Muse d'Orsay ที่กรุงปารีส ส่วนภาพเล็กถูกประมูลขายไปเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 1990 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 78 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ที่สถาบัน ในกรุงนิวยอร์ค ให้กับนาย Ryoei Saito ซึ่งซื้อไปพร้อมกับภาพเหมือนของ Dr. Gachet ซึ่งภาพ Bal au moulin de la Galette ก็ตกอยู่ในอันตรายเช่นเดียวกับภาพเขียนของ Vincent van Gogh เช่นกัน
3. Garcon a la Pipe by Pablo Picasso ($106,910,000) 
Garcon a la Pipe (Boy with a Pipe) ภาพเขียนของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1905 อยู่ในช่วง 24 ปีของยุค Rose Period ที่มีชื่อเสียงของเขา เป็นยุคที่เขานิยมใช้สีส้มและชมพูในการเขียนภาพ สีน้ำมันบนผืนผ้าใบแสดงเด็กชายชาวปารีสคนหนึ่งกำลังถือไปป์ในมือซ้าย

ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2004 ภาพนี้ถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 104.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยสถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค หลังจากที่ทางสถาบันได้ตีราคาประเมินไว้ที่ $ 70 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ราคาขายที่ออกมาได้สร้างความประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากภาพนี้ไม่ได้วาดขึ้นในยุค Cubism ที่สร้างชื่อเสียงให้กับ Picasso นักวิจารณ์ศิลปะหลายคนกล่าวว่ามูลค่าที่สูงลิ่วของภาพนี้มีมาจากชื่อเสียงของตัวศิลปินเอง มากกว่าคุณค่าความงามหรือความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในตัวภาพเอง
4. Dora Maar au Chat by Pablo Picasso ($95,216,000) 
Dora Maar au Chat (Dora Maar with Cat) ภาพเขียนปี 1941 โดย Pablo Picasso จิตรกรเอกชาวสเปน ผู้หญิงในภาพคือ Dora Maar ภรรยาของเขากำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ และมีแมวตัวน้อยเกาะอยู่บนไหล่ของเธอ ภาพนี้เขียนขึ้นในยุค Cubism ที่มีชื่อเสียงของเขา และถูกนำออกประมูลขายในการประมูลภาพเขียนของจิตรกรยุค Impressionism ที่สถาบัน Sotheby ในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2006 ด้วยมูลค่าสูงถึง $ 95.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าราคาที่ประเมินไว้คือ $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผู้ไม่ประสงค์ออกนามเป็นผู้ที่ประมูลได้ไป
5. Irises by Vincent van Gogh ($78,400,000) ภาพดอก Irises วาดโดย Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในขณะที่เขาพักรักษาตัวอยู่ในสถานพักฟื้น Saint Paul-de-Mausole ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ในช่วงปีสุดท้ายก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี 1890

ในปี 1987 ภาพนี้ได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลก เมื่อมันถูกขายไปในราคาสูงถึง $ 54,000,000 ล้านเหรียญออสเตรเลีย โดยนาย Alan Bond แต่เขาไม่มีเงินเพียงพอที่จะจ่ายได้จึงต้องมีการประมูลขายอีกครั้งหนึ่ง ปัจจุบันภาพนี้เป็นสมบัติของพิพิธภัณฑ์ Getty Museum ในลอสแอนเจลิส สหรัฐอเมริกา
6. Massacre of the Innocents by Peter Paul Rubens ($77,927,000) 
ภาพเขียนฝีมือของ Peter Paul Rubens จิตรกรเอกชาวเฟลมมิช ซึ่งวาดภาพนี้ขึ้นในปี 1611 เป็นภาพเขียนที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาภาพเขียนทั้ง 10 รูป ผู้ที่ซื้อไปคือนาย Kenneth Thomson (บารอน ทอมสันที่ 2 แห่ง Fleet) ด้วยราคาสูงถึง 49.5 ล้านปอนด์ ($ 76.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ในการประมูลเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2002 ที่สถาบัน Sotheby
7. Les Noces de Pierrette by Pablo Picasso ($72,697,000) 
Les Noces de Pierrette ภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกอีกภาพหนึ่งของ Pablo Picasso จิตรกรและประติมากรเอกชาวสเปน วาดขึ้นในยุค Blue Period ของเขา เป็นช่วงที่เขาทุกข์ทรมานจากความยากจนและความโศกเศร้า เนื่องจาก Carlos Casagemas เพื่อนรักของเขาฆ่าตัวตายเมื่อปี 1901 ภาพนี้ถูกขายให้กับเศรษฐีชาวเอเซียด้วยราคาสูงถึง $ 51.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 1989 ในการประมูลที่สถาบัน Binoche et Godeau ที่ปารีส

 8. Portrait de l'Artiste sans Barbe by Vincent van Gogh ($ 71,690,000) 
Portrait de l'artiste sans barbe ("Self-portrait without beard") หรือ ”ภาพเหมือนที่ไม่มีเครา” หนึ่งในภาพเหมือนตัวเองหลายๆ ภาพของ Vincent van Gogh จิตรกรชาวดัทช์ ซึ่งเขียนขึ้นในช่วงปี 1889 ซึ่งเขาพำนักอยู่ที่เมือง Saint-Remy-de-Provence ประเทศฝรั่งเศส ภาพเขียนสีน้ำมันภาพบนเฟรมผ้าใบภาพนี้มีขนาด 40x31 ซ.ม. (16" x 13")

Van Gogh เขียนภาพนี้หลังจากที่เขาพึ่งโกนหนวดเสร็จ แตกต่างจากภาพเหมือนรูปอื่นๆ ของเขาที่ไว้เครา และมันได้กลายเป็นภาพเขียนที่แพงที่สุดในโลกตลอดกาลเมื่อถูกประมูลขายไปในราคาสูงถึง $ 65 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Christie ที่กรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 1998

9. Rideau, Cruchon et Compotier by Paul Cezanne ($70,140,000) 
Rideau, Cruchon et Compotier ภาพเขียนของ Paul Cezanne เขียนขึ้นในช่วงปี 1893-1894 Cezanne เป็นจิตรกรที่มีชื่อเสียงในการเขียนภาพหุ่นนิ่ง ซึ่งแสดงอารมณ์อันล้ำผ่านความสงบนิ่งในความเหมือนจริง

ภาพนี้ถูกประมูลขายไปด้วยราคาสูงถึง $ 60.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลที่สถาบัน Sotheby เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม ปี 1999 ผู้ที่ประมูลไปคือ ตระกูล Whitneys หนึ่งในตระกูลที่มั่งคั่งที่สุดในสหรัฐอเมริกา แต่หลังจากนั้นภาพนี้ได้ถูกนำมาประมูลใหม่อีกครั้งหนึ่ง

10. Femme aux Bras Croises by Pablo Picasso ($52,851,000) 
Femme aux Bras Croises (Woman with Folded Arms) ภาพเขียนฝีมือของ Pablo Picasso วาดขึ้นในปี 1902 ในยุค Blue Period ของเขา ซึ่งเป็นยุคที่มืดมนและโศกเศร้า ในภาพเป็นรูปผู้หญิงนั่งกอดอกอย่างเหม่อลอยไร้จุดหมาย ความแตกต่างของน้ำหนักสีฟ้าที่สวยงามคือเทคนิคการใช้สีที่ Picasso นิยมใช้ในยุคนี้

ภาพ Femme aux Bras Croises ถูกประมูลขายไปในราคา $ 50 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในการประมูลของสถาบัน Christie ที่ Rockefellerในกรุงนิวยอร์ค เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2000










วันอังคารที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

มาราธอน


ประวัติความเป็นมาของการวิ่งมาราธอน 




                ประมาณ 2,500 ปีเศษ ย้อนไปอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง แต่รบราฆ่าฟันทำสงครามกับคู่รักคู่แค้นกับเปอร์เซียตลอดเวลา ครั้งหนึ่งรบกันที่เมืองสปาตา โรมันชนะศึกทหารชื่อ " ฟิดิปปิเดซ " ( Pherdippides ) ถูกใช้ให้กลับไปรายงานเจ้าเมืองเอเธนเป็นเพราะม้าศึกตายหมดหรือไงไม่ทราบ พ่อคุณฟิดปปิเดซรายนี้ต้องวิ่งจากเมืองที่ทำศึกข้ามทุ่ง " มาราธอน " ตามประวัติเขียนไว้ว่าใช้เวลาประมาณ 48 ชั่วโมง เมื่อฟิดิปปิเดซวิ่งข้ามประตูเมืองเขาตะโกนว่า " Victory " ( เราชนะแล้ว ) พอสิ้นเสียงเขาก็ขาดใจตายอยู่ ณ ตรงนั้น นี่เป็นตำนานเล่าขานกันมา เมื่อมีการจัดแข่งขันวิ่งทนระยะยาวขึ้นเป็นครั้งแรกในกีฬาโอลิมปิคเขาจึงตั้งชื่อว่า " มาราธอน "
มาราธอน หมายถึง ระยะ 26 ไมล์ 385 หลา แต่ทางแถบเอเซียนิยมใช้เป็น 42.195 กม.
วิ่งบนถนนทั่วไป    ( Road Races )    คือระยะที่อาจมากหรือน้อยกว่ามาราธอน ( Mini Marathon ) จะเป็นระยะกี่กิโลก็ตาม แม้แต่ที่เรียกกันว่า ครึ่งมาราธอน ( 21.100 กม.) ก็เรียกมินิได้เช่นกัน ส่วนคำว่า ซูเปอร์ฮาล์ฟมาราธอน ( ซูเปอร์ครึ่งมาราธอน ที่บางคนเข้าใจว่าเป็นระยะมากกว่าครึ่งมาราธอน เช่น 25-30 กม. ความจริงคำว่า ซูเปอร์ฮาล์ฟนี้ฝรั่งไม่รู้จัก พี่ไทยเราตั้งกันเองตามประสาสิบล้อครีเอท แต่ถ้าเป็นระยะที่ยาวกว่ามาราธอน ( 42.195 ) เขาเรียก " Ultramarathon " มักจะมีมาตราฐานไว้ที่ 100 กม. มีการจัดบ่อยในยุโรป ส่วนใหญ่แชมป์จะทำเวลาอยู่ประมาณ 6.30-7 ชม.

AIMS       มีสมาชิกที่เป็นสนามวิ่งอยู่ทั้งหมดทั่วโลก ปัจจุบัน 55 ประเทศ ประกอบด้วย สมาชิกที่เป็นสนามแข่งขัน 166 แห่ง สนามวิ่งในประเทศเราที่เป็นสมาชิกของ   AIMS   มีอยู่ 1 สนาม คือ " กรุงเทพมาราธอน "  สนามวิ่งที่เป็นสมาชิกของ AIMS   จะต้องได้รับการพิสูจน์วัดระยะของเส้นทางแข่งขันในระยะที่ถูกต้องตรงตามมาตราฐานวัดที่สุด กรณีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางแข่งขันเดิมเลย เมื่อครบ 5 ปี ผู้แทนฝ่ายเทคนิคของ AIMS ซึ่งปัจจุบันร่วมมือกันกับ IAAF ( International Amateur Atheletic Federation ) จะต้องทำการพิสูจน์วัดเส้นทางใหม่ นอกจากดูแลเคร่งครัดเกี่ยวกับความเที่ยงตรงของเส้นทางแข่งขันแล้ว AIMS ยังควบคุมดูแลโครงสร้างการจัดงานที่ได้มาตรฐานอื่น ๆ อีกด้วย

การแข่งขันวิ่งมาราธอนครั้งแรกของโลก
ปี 1896 ในโอลิมปิคเกมส์ จัดที่เอเธนในระยะทาง 24 ไมล์ 1500 หลา ผู้ชนะในครั้งนั้น เป็นชาวกรีกนั่นเอง คือ สปิริดอน หลุย ( Spyridon Louis ) ทำเวลา 2.58.50 ชม.
ชื่อของ สปิริดอน เป็นประวัติศาสตร์ ปัจจุบันเรามักจะเห็นตัวผลิตภัณฑ์หรือกิจกรรมที่เกี่ยวกับกีฬานำเอาคำว่า " Spyridon " ไปใช้ เช่น ชื่อบริษัทเกี่ยวกับกีฬา ฯลฯ โดยเฉพาะในยุโรปและอเมริกา

ระยะทาง Marathon ถูกเปลี่ยนแปลง
ปี 1908 มีการจัดโอลิมปิคเกมส์ ที่ London ระยะทางเดิมถูกปรับให้ยาวออกไปเป็น 26 ไมล์ 385 หลา ( 42.195 กม.) ด้วยเหตุผลที่คณะกรรมการยินยอมกำหนดเส้นชัยอยู่ตรงหน้าพระพักตร์เจ้าหญิงพอดี และต่อจากนั้นมาได้ยึดระยะนี้เป็นมาตราฐานจนถึงปัจจุบัน ผู้เป็นแชมป์คนแรกในระยะ 42.195 กม. นี้คนแรกคือ จอห์น เฮย์ ( John Hayes ) นักวิ่งอเมริกัน ทำเวลา 2.55.18 ชม.
การแข่งขันวิ่งมาราธอนสำหรับประชาชนทั่วไปครั้งแรกในโลก
ทันทีที่มีการแข่งขันวิ่งมาราธอนในโอลิมปิคเกมส์ที่เอเธนปี 1896 เมือง " บอสตัน " สหรัฐ ฯ ก็ริเริ่มจัดให้มีการแข่งขัน "วิ่งบอสตันมาราธอน" ขึ้นเป็นครั้งแรกใช้กฏกติกาการแข่งขันเหมือนโอลิมปิค เพียงแตกต่างกันที่เปิดโอกาสให้นักวิ่งประชาชนทั่วไปเข้าแข่งได้ " บอสตันมาราธอน " จึงกลายเป็นงานวิ่งมาราธอนประเพณีประจำเมืองที่มีอายุมากที่สุดในโลก จนถึงปัจจุบัน 104 ปี และจัดต่อเนื่องกันมามิได้ขาด เมื่อครั้งครบรอบ 100 ปี มีนักวิ่งมาราธอนจากทั่วโลกเข้าร่วมแข่งขันกว่า 40,000 คน ในจำนวนนี้มีนักวิ่งไทยเข้าร่วมแข่งขัน 25 คน

ประวัติกีฬาโอลิมปิก

ประวัติกีฬาโอลิมปิก
       ก่อนหน้าคริสตกาลกว่า 1,000 ปี การแข่งขันกีฬาได้ดำเนินการกันบนยอดเขา "โอลิมปัส" ในประเทศกรีก โดยนักกีฬาจะต้องเปลือยกายเข้าแข่งขันเพื่อประกวดความสมส่วนของร่างกาย และยังมีการต่อสู้บางประเภท เช่น กีฬาจำพวกมวยปล้ำ เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรง ผู้ชมมีแต่เพียงผู้ชายห้ามผู้หญิงเข้าชม ดังนั้นผู้ชมจะต้องขึ้นไปบนยอดเขา ครั้นต่อมามีผู้นิยมมากขึ้นสถานที่บนยอดเขาจึงคับแคบเกินไป จึงทำให้ไม่เพียงพอที่จุ ทั้งผู้เล่นและผู้ชมได้ทั้งหมด
      
       ดังนั้น ในปีที่ 776 ก่อนคริสตกาลชาวกรีกได้ย้ายที่แข่งขันกันที่เชิงเขาโอลิมปัส และได้ปรับปรุงการแข่งขันเสียใหม่ให้ดีขึ้น โดยให้ผู้เข้าเข่งขันสวมกางเกง พิธีการแข่งขันจึงจัดอย่างมีระเบียบเป็นทางการ มีจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน อนุญาตให้สตรีเข้าชมการแข่งขันได้แต่ไม่อนุญาตให้เข้าแข่งขัน ประเภทกรีฑาที่มีการแข่งขันที่ถือเป็นทางการในครั้งแรกนี้มีกีฬาอยู่ 5 ประเภท คือ การวิ่ง กระโดด มวยปล้ำ พุ่งแหลนและขว้างจักร ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งๆ จะต้องเล่นทั้ง 5 ประเภท โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัล คือ มงกุฎที่ทำด้วยกิ่งไม้มะกอก ซึ่งขึ้นอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั่นเอง และได้รับเกียรติเดินทางท่องเที่ยวไปทุกรัฐในฐานะตัวแทนของพระเจ้า และการแข่งขันได้จัดขึ้น ณ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิสที่เดิมเป็นประจำทุกๆ สี่ปี และถือปฏิบัติต่อกันมาโดยไม่เว้น เมื่อถึงกำหนดการแข่งขัน ทุกรัฐจะต้องให้เกียรติ หากว่าขณะนั้นกำลังทำสงครามกันอยู่จะต้องหยุดพักรบ และมาดูนักกีฬาของตนแข่งขัน หลังจากเสร็จจากการแข่งขันแล้วจึงค่อยกลับไปทำสงครามกันใหม่ ประเภทของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในระยะต่อๆ มา โดยมีการพิจารณาและลดประเภทของกรีฑาเรื่อยมา อย่างไรก็ดีในระยะแรกๆ นี้กรีฑา 5 ประเภทดังกล่าวจัดแข่งขันกันในครั้งแรก ก็ยังได้รับเกียรติให้คงไว้ ซึ่งเรียกกันว่า "เพ็นตาธรอน" หรือ "ปัญจกรีฑา" ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงกำเนิดของกรีฑา ในปัจจุบันก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่ แต่ประเภทของปัญจกรีฑาได้เปลี่ยนตามยุคและกาลสมัย

       
      
       การแข่งขันได้ดำเนินติดต่อกันมานับเป็นเวลาถึง 1,200 ปี จนมาในปี ค.ศ. 393 จักรพรรดิธีโอดอซิดุช แห่งโรมัน ได้ทรงประกาศให้ยกเลิกการแข่งขันนั้นแสีย เพราะเกิดมีการว่าจ้างกันเข้ามาเล่นเพื่อหวังรางวัล และผู้เล่นปรารถนาสินจ้างมากกว่าการเล่นเพื่อสุขภาพของตน รวมทั้งมีการพนันขันต่อ อันเป็นทางวิบัติซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิมคือ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายต่างก็อยากได้ช่อลอเรล ซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงสั่งให้ล้มเลิกการแข่งขันที่เป็นประเพณีอันดีงามนี้ตลอดระยะเวลาที่มีการแข่งขันนั้น ได้จัดขึ้นบริเวณ ณ ที่แห่งเดียวเชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส จึงเรียกการแข่งขันตามชื่อของสถานที่นั้นว่า "การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก"
      
       หลังจากโอลิมปิกโบราณได้ล้มเลิกไปเป็นเวลาถึง 15 ศตวรรษ โอลิมปิกยุคใหม่เกิดขึ้น โดยมีนักกีฬาคนสำคัญของฝรั่งเศสชื่อ "บารอน ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง" ท่านขุนนางผู้นี้เกิดในกรุงบารีสเมื่อ 1 มกราคม 2406 สนใจประวัติศาสตร์ ปัญหาการเมืองและสังคมในปี พ.ศ. 2432 ท่านอายุได้ 26 ปี ได้เกิดความคิดที่จะฟื้นฟูการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งได้ล้มเลิกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) โดยติดต่อกับบุคคลสำคัญของประเทศอังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศสเป็นเวลาถึง 4 ปี ในที่สุดได้เปิดการประชุมอันไม่เป็นทางการขึ้นที่ตำบลซอร์บอนน์ ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 และประกาศ ณ ที่นั้นว่าการแข่งขันโอลิมปิกซึ่งได้หยุดมานานกว่า 15 ศตวรรษ จักได้ฟื้นขึ้นใหม่เป็นการปัจจุบัน และแผนการของงานโอลิมปิกปัจจุบันนั้นได้เป็นที่ตกลงกันในที่ประชุมจำนวน 15 ประเทศ ณ ตำบลซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส คณะกรรมการผู้ริเริ่มได้ลงมติว่ามิให้ทำการเปิดการแข่งขันโอลิมปิกปัจจุบันขึ้น โดยกำหนด 4 ปีต่อ 1 ครั้งและให้หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปเป็นเจ้าภาพระหว่างประเทศเครือสมาชิก แต่การเปิดแข่งขันครั้งแรกให้เริ่ม ณ กรุงเอเธนส์ใน ค.ศ. 1896 (พ.ศ. 2439) เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการกำเนิดกีฬาโอลิมปิกเมื่อครั้งโบราณ จากนั้นเป็นต้นมาการแข่งขันและวิธีเล่นกรีฑาก็พัฒนาไปอย่างกว้างขวาง และการแข่งขันทุกๆ ครั้งให้ถือเอากรีฑาเป็นกีฬาหลัก ซึ่งจะขาดเสียมิได้ในการแข่งขันแต่ละครั้ง
      
       การที่จะกำหนดว่าประเทศใดจะได้เป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป ณ สถานที่ที่ทำการแข่งขันครั้งสุดท้ายดำเนินอยู่นั้นเองคณะกรรมการโอลิมปิกสากลจะเข้าประชุมพิจารณาในบรรดาประเทศสมาชิกที่เสนอขอจัดและมีอำนาจเด็ดขาดที่จะลงมติให้ประเทศใดเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะประกาศให้ทราบเป็นทางการในวันพิธีเปิดการแข่งขันครั้งสุดท้ายนั้น ประเทศที่ได้รับพิจารณาให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับความไว้วางใจ อันก่อให้เกิดความภาคภูมิใจต่อปวงชนทั้งประเทศ
      
       ในปัจจุบันประเทศทั่วโลกเป็นสมาชิกของโอลิมปิก 197 ประเทศ แต่บางประเทศไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันเพราะเป็นประเทศเล็กขาดความพร้อมในเรื่องตัวนักกีฬาท่านบารอน ปิแอร์เดอ ดูเบอร์แตง ไม่ให้นิยามการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกว่า ผู้เข้าร่วมการแข่งขันไม่เลือกผิวพรรณ ศาสนา ลัทธิการปกครองแต่อย่างใดความหมายการแข่งขันเพื่อให้นักกีฬาชาติต่างๆ ได้มาร่วมชุมนุมกัน ตัวนักกีฬาเปรียบเสมือนทูตสันถไมตรีส่งมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ร่วมเล่นสนุกสนานด้วยความเห็นอกเห็นใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดทั้งสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน อันนำมาซึ่งความสามัคคีและเพื่อสันติภาพของโลก การแพ้หรือชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ "การเข้าร่วม"      
       รางวัลของการแข่งขัน ในสมัยโบราณผู้ที่ชนะจะได้รับการสรรเสริญมาก รางวัลที่ให้แก่ผู้ชนะในสมัยนั้น คือ "กิ่งไม้มะกอก"ซึ่งตัดมาจากยอดเขาโอลิมปัส อันเป็นที่สิงสถิตของพระเจ้าซีอูซ แล้วทำเป็นวงคล้ายมงกุฎจักรพรรดิจะเป็นผู้พระราชทานครอบลงบนศรีษะของผู้ชนะนั้นๆ พร้อมทั้งได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ให้ชนรุ่นหลังศึกษาและชื่นชมต่อไป สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกสมัยปัจจุบันแบ่งรางวัลเป็นสามระดับ คือ เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญบรอนซ์ ให้แก่ผู้ชนะเลิศ ผู้ชนะเลิศที่สอง และที่สามตามลำดับ ส่วนที่สี่ไปถึงอันดับที่ 6 จะได้ประกาศนียบัตรการเข้าร่วมการแข่งขันโคมไฟโอลิมปิก เมื่อมีการแข่งขันโอลิมปิกจะมีการจุดไฟขึ้นสว่างไสว ในสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าจึงจุไฟกองใหญ่ขึ้นบนยอดเขาโอลิมปัส เพื่อเป็นสัญญาณ
      
       ประกาศให้คนทั่วไปทราบว่าการเฉลิมฉลองได้เริ่มขึ้นแล้ว การจุดไฟเริ่มแรกนั้นเขาทำพิธีกันบนยอดเขาโอลิมปัส ใช้แว่นรวมแสงของดวงอาทิตย์พุ่งไปยังเชื้อเพลิงเมื่อเกิดไฟแล้วจึงนำตะเกียงต่อเอาไว้ส่วนไฟกองใหญ่จะคงลุกโชติช่วงต่อไปจนตลอดงานฉลอง ส่วนตะเกียงนั้นจะมีการวิ่งถือไปทั่วทุกนครรัฐด้วยการส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ จากนักวิ่ง คนละ 2 ไมล์หากผ่านทะเล หรือแม่น้ำก็จะลงเรือข้ามฟากโดยไฟไม่ดับ ไฟนี้ชาวกรีก ถือว่าเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ และความสงบสุขของชาวกรีก ซึ่งพระเจ้าจะทรงพระพิโรธต่อบุคคลที่ไม่สนใจในกิจการนี้โอลิมปิก ปัจจุบันก็ยังคงรักษาประเพณีเรื่องการจุดไฟไว้ดังเดิมทุกประการ กล่าวคือ ก่อนจะมีการแข่งขันจะมีพิธีจุดไฟ ณ เขาโอลิมปัส ผู้จุดคือสาวพรหมจารีย์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้ต่อไฟจากแว่นรวมแสงของดวงอาทิตย์ด้วยคบเพลิง และไฟนี้จะถูกแจกจ่ายไปยังประเทศสมาชิกทั่วโลก และข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ประเทศเจ้าภาพ และมีการวิ่งถือคบเพลิงส่งต่อกันไปจุดที่กระถางใหญ่บริเวณงานในวันแรกของพิธีเปิดการแข่งขัน ไฟจะต้องไม่ดับตั้งแต่เริ่มจุด ณ ภูเขาโอลิมปัส จนกระทั่งกว่าจะสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้นๆ

       ธงโอลิมปิกมีผืนธงเป็นสีขาว ขนาดมาตรฐานยาว 3 เมตร กว้าง 2 เมตร ส่วนเครื่องหมายห้าห่วงคล้องกันอยู่บนกลางธง ขนาด 2 เมตร คูณ 0.60 เมตร มีสีฟ้า สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแดง ตามลำดับจากซ้ายไปขวา คล้องไขว้กันอยู่ตรงกลางสองแถว แถวบน 3 ห่วงแถวล่าง 2 ห่วง ห่วงสีที่คล้องกันอยู่ตรงกลางธงบนพื้นธงสีขาว รวมเป็น 6 สี โดยแท้จริงแล้ว ห้าห่วง หมายถึง ห้าส่วนของโลกที่อยู่ในโอบอ้อมของ "โอลิมปิกนิยม" มิเจาะจงเป็นห้าทวีปในโลก อย่างที่เข้าใจกัน แต่บังเอิญห้าทวีปนี้ก็เป็นห้าส่วนของโลกก็เลยอนุโลมกันไปเช่นนั้น ส่วนสีที่ห่วง 5 สี มิได้หมายถึงสีประจำทวีป ซึ่งสีทั้งหมด 6 สี รวมทั้งสีขาวที่เป็นพื้นธง หมายความว่า ธงชาติของประเทศต่างๆ ในโลกประกอบด้วยสีใดสีหนึ่งหรือกว่านั้นในจำนวนหกสีนั้น และไม่มีธงชาติของประเทศใดที่มีสีนอกเหนือไปนอกจากหกสีนี้

 ประวัติกีฬาโอลิมปิก ก่อนหน้าคริสตกาลกว่า 1,000 ปี การแข่งขันกีฬาได้ดำเนินการกันบนยอดเขา "โอลิมปัส" ในประเทศกรีก โดยนักกีฬาจะต้องเปลือยกายเข้าแข่งขันเพื่อประกวดความสมส่วนของร่างกาย และยังมีการต่อสู้บางประเภท เช่น กีฬาจำพวกมวยปล้ำ เพื่อพิสูจน์ความแข็งแรง ผู้ชมมีแต่เพียงผู้ชายห้ามผู้หญิงเข้าชม ดังนั้นผู้ชมจะต้องขึ้นไปบนยอดเขา ครั้นต่อมามีผู้นิยมมากขึ้นสถานที่บนยอดเขาจึงคับแคบเกินไป จึงทำให้ไม่เพียงพอที่จุ ทั้งผู้เล่นและผู้ชมได้ทั้งหมด
      
       ดังนั้น ในปีที่ 776 ก่อนคริสตกาลชาวกรีกได้ย้ายที่แข่งขันกันที่เชิงเขาโอลิมปัส และได้ปรับปรุงการแข่งขันเสียใหม่ให้ดีขึ้น โดยให้ผู้เข้าเข่งขันสวมกางเกง พิธีการแข่งขันจึงจัดอย่างมีระเบียบเป็นทางการ มีจักรพรรดิมาเป็นองค์ประธาน อนุญาตให้สตรีเข้าชมการแข่งขันได้แต่ไม่อนุญาตให้เข้าแข่งขัน ประเภทกรีฑาที่มีการแข่งขันที่ถือเป็นทางการในครั้งแรกนี้มีกีฬาอยู่ 5 ประเภท คือ การวิ่ง กระโดด มวยปล้ำ พุ่งแหลนและขว้างจักร ผู้เข้าแข่งขันคนหนึ่งๆ จะต้องเล่นทั้ง 5 ประเภท โดยผู้ชนะจะได้รับรางวัล คือ มงกุฎที่ทำด้วยกิ่งไม้มะกอก ซึ่งขึ้นอยู่บนยอดเขาโอลิมปัสนั่นเอง และได้รับเกียรติเดินทางท่องเที่ยวไปทุกรัฐในฐานะตัวแทนของพระเจ้า และการแข่งขันได้จัดขึ้น ณ เชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิสที่เดิมเป็นประจำทุกๆ สี่ปี และถือปฏิบัติต่อกันมาโดยไม่เว้น เมื่อถึงกำหนดการแข่งขัน ทุกรัฐจะต้องให้เกียรติ หากว่าขณะนั้นกำลังทำสงครามกันอยู่จะต้องหยุดพักรบ และมาดูนักกีฬาของตนแข่งขัน หลังจากเสร็จจากการแข่งขันแล้วจึงค่อยกลับไปทำสงครามกันใหม่ ประเภทของการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปบ้างในระยะต่อๆ มา โดยมีการพิจารณาและลดประเภทของกรีฑาเรื่อยมา อย่างไรก็ดีในระยะแรกๆ นี้กรีฑา 5 ประเภทดังกล่าวจัดแข่งขันกันในครั้งแรก ก็ยังได้รับเกียรติให้คงไว้ ซึ่งเรียกกันว่า "เพ็นตาธรอน" หรือ "ปัญจกรีฑา" ทั้งนี้ก็เพื่อเป็นการรำลึกถึงกำเนิดของกรีฑา ในปัจจุบันก็ยังมีการแข่งขันกันอยู่ แต่ประเภทของปัญจกรีฑาได้เปลี่ยนตามยุคและกาลสมัย


       การแข่งขันได้ดำเนินติดต่อกันมานับเป็นเวลาถึง 1,200 ปี จนมาในปี ค.ศ. 393 จักรพรรดิธีโอดอซิดุช แห่งโรมัน ได้ทรงประกาศให้ยกเลิกการแข่งขันนั้นแสีย เพราะเกิดมีการว่าจ้างกันเข้ามาเล่นเพื่อหวังรางวัล และผู้เล่นปรารถนาสินจ้างมากกว่าการเล่นเพื่อสุขภาพของตน รวมทั้งมีการพนันขันต่อ อันเป็นทางวิบัติซึ่งผิดไปจากวัตถุประสงค์เดิมคือ ผู้เข้าแข่งขันทั้งหลายต่างก็อยากได้ช่อลอเรล ซึ่งเป็นรางวัลของผู้ชนะด้วยเหตุนี้เอง พระองค์จึงสั่งให้ล้มเลิกการแข่งขันที่เป็นประเพณีอันดีงามนี้ตลอดระยะเวลาที่มีการแข่งขันนั้น ได้จัดขึ้นบริเวณ ณ ที่แห่งเดียวเชิงเขาโอลิมปัส แคว้นอีลิส จึงเรียกการแข่งขันตามชื่อของสถานที่นั้นว่า "การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก"
      
       หลังจากโอลิมปิกโบราณได้ล้มเลิกไปเป็นเวลาถึง 15 ศตวรรษ โอลิมปิกยุคใหม่เกิดขึ้น โดยมีนักกีฬาคนสำคัญของฝรั่งเศสชื่อ "บารอน ปิแอร์ เดอ ดูเบอร์แตง" ท่านขุนนางผู้นี้เกิดในกรุงบารีสเมื่อ 1 มกราคม 2406 สนใจประวัติศาสตร์ ปัญหาการเมืองและสังคมในปี พ.ศ. 2432 ท่านอายุได้ 26 ปี ได้เกิดความคิดที่จะฟื้นฟูการแข่งขันโอลิมปิก ซึ่งได้ล้มเลิกมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 936 (ค.ศ. 393) โดยติดต่อกับบุคคลสำคัญของประเทศอังกฤษ อเมริกา และฝรั่งเศสเป็นเวลาถึง 4 ปี ในที่สุดได้เปิดการประชุมอันไม่เป็นทางการขึ้นที่ตำบลซอร์บอนน์ ในกรุงปารีส เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2435 และประกาศ ณ ที่นั้นว่าการแข่งขันโอลิมปิกซึ่งได้หยุดมานานกว่า 15 ศตวรรษ จักได้ฟื้นขึ้นใหม่เป็นการปัจจุบัน และแผนการของงานโอลิมปิกปัจจุบันนั้นได้เป็นที่ตกลงกันในที่ประชุมจำนวน 15 ประเทศ ณ ตำบลซอร์บอนน์ ประเทศฝรั่งเศส คณะกรรมการผู้ริเริ่มได้ลงมติว่ามิให้ทำการเปิดการแข่งขันโอลิมปิกปัจจุบันขึ้น โดยกำหนด 4 ปีต่อ 1 ครั้งและให้หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันไปเป็นเจ้าภาพระหว่างประเทศเครือสมาชิก แต่การเปิดแข่งขันครั้งแรกให้เริ่ม ณ กรุงเอเธนส์ใน ค.ศ. 1896 (พ.ศ. 2439) เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการกำเนิดกีฬาโอลิมปิกเมื่อครั้งโบราณ จากนั้นเป็นต้นมาการแข่งขันและวิธีเล่นกรีฑาก็พัฒนาไปอย่างกว้างขวาง และการแข่งขันทุกๆ ครั้งให้ถือเอากรีฑาเป็นกีฬาหลัก ซึ่งจะขาดเสียมิได้ในการแข่งขันแต่ละครั้ง
      
       การที่จะกำหนดว่าประเทศใดจะได้เป็นเจ้าภาพในครั้งต่อไป ณ สถานที่ที่ทำการแข่งขันครั้งสุดท้ายดำเนินอยู่นั้นเองคณะกรรมการโอลิมปิกสากลจะเข้าประชุมพิจารณาในบรรดาประเทศสมาชิกที่เสนอขอจัดและมีอำนาจเด็ดขาดที่จะลงมติให้ประเทศใดเป็นเจ้าภาพ ซึ่งจะประกาศให้ทราบเป็นทางการในวันพิธีเปิดการแข่งขันครั้งสุดท้ายนั้น ประเทศที่ได้รับพิจารณาให้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน ถือได้ว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับความไว้วางใจ อันก่อให้เกิดความภาคภูมิใจต่อปวงชนทั้งประเทศ
      
       ในปัจจุบันประเทศทั่วโลกเป็นสมาชิกของโอลิมปิก 197 ประเทศ แต่บางประเทศไม่ได้เข้าร่วมการแข่งขันเพราะเป็นประเทศเล็กขาดความพร้อมในเรื่องตัวนักกีฬาท่านบารอน ปิแอร์เดอ ดูเบอร์แตง ไม่ให้นิยามการเข้าร่วมการแข่งขันโอลิมปิกว่า ผู้เข้าร่วมการแข่งขันไม่เลือกผิวพรรณ ศาสนา ลัทธิการปกครองแต่อย่างใดความหมายการแข่งขันเพื่อให้นักกีฬาชาติต่างๆ ได้มาร่วมชุมนุมกัน ตัวนักกีฬาเปรียบเสมือนทูตสันถไมตรีส่งมาเพื่อเชื่อมความสัมพันธ์ ร่วมเล่นสนุกสนานด้วยความเห็นอกเห็นใจ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นตลอดทั้งสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน อันนำมาซึ่งความสามัคคีและเพื่อสันติภาพของโลก การแพ้หรือชนะไม่ใช่สิ่งสำคัญ แต่สิ่งสำคัญที่สุด คือ 
"การเข้าร่วม"      
       รางวัลของการแข่งขัน ในสมัยโบราณผู้ที่ชนะจะได้รับการสรรเสริญมาก รางวัลที่ให้แก่ผู้ชนะในสมัยนั้น คือ "กิ่งไม้มะกอก"ซึ่งตัดมาจากยอดเขาโอลิมปัส อันเป็นที่สิงสถิตของพระเจ้าซีอูซ แล้วทำเป็นวงคล้ายมงกุฎจักรพรรดิจะเป็นผู้พระราชทานครอบลงบนศรีษะของผู้ชนะนั้นๆ พร้อมทั้งได้สร้างอนุสาวรีย์ไว้ให้ชนรุ่นหลังศึกษาและชื่นชมต่อไป สำหรับการแข่งขันโอลิมปิกสมัยปัจจุบันแบ่งรางวัลเป็นสามระดับ คือ เหรียญทอง เหรียญเงิน และเหรียญบรอนซ์ ให้แก่ผู้ชนะเลิศ ผู้ชนะเลิศที่สอง และที่สามตามลำดับ ส่วนที่สี่ไปถึงอันดับที่ 6 จะได้ประกาศนียบัตรการเข้าร่วมการแข่งขันโคมไฟโอลิมปิก เมื่อมีการแข่งขันโอลิมปิกจะมีการจุดไฟขึ้นสว่างไสว ในสมัยก่อนไม่มีไฟฟ้าจึงจุไฟกองใหญ่ขึ้นบนยอดเขาโอลิมปัส เพื่อเป็นสัญญาณ
      
       ประกาศให้คนทั่วไปทราบว่าการเฉลิมฉลองได้เริ่มขึ้นแล้ว การจุดไฟเริ่มแรกนั้นเขาทำพิธีกันบนยอดเขาโอลิมปัส ใช้แว่นรวมแสงของดวงอาทิตย์พุ่งไปยังเชื้อเพลิงเมื่อเกิดไฟแล้วจึงนำตะเกียงต่อเอาไว้ส่วนไฟกองใหญ่จะคงลุกโชติช่วงต่อไปจนตลอดงานฉลอง ส่วนตะเกียงนั้นจะมีการวิ่งถือไปทั่วทุกนครรัฐด้วยการส่งต่อกันไปเป็นทอดๆ จากนักวิ่ง คนละ 2 ไมล์หากผ่านทะเล หรือแม่น้ำก็จะลงเรือข้ามฟากโดยไฟไม่ดับ ไฟนี้ชาวกรีก ถือว่าเป็นไฟศักดิ์สิทธิ์ และความสงบสุขของชาวกรีก ซึ่งพระเจ้าจะทรงพระพิโรธต่อบุคคลที่ไม่สนใจในกิจการนี้โอลิมปิก ปัจจุบันก็ยังคงรักษาประเพณีเรื่องการจุดไฟไว้ดังเดิมทุกประการ กล่าวคือ ก่อนจะมีการแข่งขันจะมีพิธีจุดไฟ ณ เขาโอลิมปัส ผู้จุดคือสาวพรหมจารีย์ผู้บริสุทธิ์เป็นผู้ต่อไฟจากแว่นรวมแสงของดวงอาทิตย์ด้วยคบเพลิง และไฟนี้จะถูกแจกจ่ายไปยังประเทศสมาชิกทั่วโลก และข้ามน้ำข้ามทะเลไปสู่ประเทศเจ้าภาพ และมีการวิ่งถือคบเพลิงส่งต่อกันไปจุดที่กระถางใหญ่บริเวณงานในวันแรกของพิธีเปิดการแข่งขัน ไฟจะต้องไม่ดับตั้งแต่เริ่มจุด ณ ภูเขาโอลิมปัส จนกระทั่งกว่าจะสิ้นสุดการแข่งขันโอลิมปิกในครั้งนั้นๆ

       ธงโอลิมปิกมีผืนธงเป็นสีขาว ขนาดมาตรฐานยาว 3 เมตร กว้าง 2 เมตร ส่วนเครื่องหมายห้าห่วงคล้องกันอยู่บนกลางธง ขนาด 2 เมตร คูณ 0.60 เมตร มีสีฟ้า สีเหลือง สีดำ สีเขียว สีแดง ตามลำดับจากซ้ายไปขวา คล้องไขว้กันอยู่ตรงกลางสองแถว แถวบน 3 ห่วงแถวล่าง 2 ห่วง ห่วงสีที่คล้องกันอยู่ตรงกลางธงบนพื้นธงสีขาว รวมเป็น 6 สี โดยแท้จริงแล้ว ห้าห่วง หมายถึง ห้าส่วนของโลกที่อยู่ในโอบอ้อมของ "โอลิมปิกนิยม" มิเจาะจงเป็นห้าทวีปในโลก อย่างที่เข้าใจกัน แต่บังเอิญห้าทวีปนี้ก็เป็นห้าส่วนของโลกก็เลยอนุโลมกันไปเช่นนั้น ส่วนสีที่ห่วง 5 สี มิได้หมายถึงสีประจำทวีป ซึ่งสีทั้งหมด 6 สี รวมทั้งสีขาวที่เป็นพื้นธง หมายความว่า ธงชาติของประเทศต่างๆ ในโลกประกอบด้วยสีใดสีหนึ่งหรือกว่านั้นในจำนวนหกสีนั้น และไม่มีธงชาติของประเทศใดที่มีสีนอกเหนือไปนอกจากหกสีนี้